Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
จอประสาทตาเสื่อม มีสาเหตุมาจากอะไร
จอประสาทตาเสื่อม มีสาเหตุมาจากอะไร
จอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดจากจอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถรับภาพได้ดีเท่าเดิม โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ มองภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีได้น้อยลง การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด
จอประสาทตาเสื่อมมักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ บางครั้งจึงเรียกโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงอายุว่า Age – Related Macular Degeneration หรือที่เรียกว่า AMD นั่นเอง ผู้ป่วยโรคนี้มักรู้ตัวช้า เนื่องจากในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการของโรคจะค่อยๆ เกิด บางครั้งก็เกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้าง เมื่อผู้ป่วยใช้ดวงตาสองข้างในการมองจึงไม่ทราบว่าภาพการมองเห็นของตนกำลังผิดเพี้ยนไป
จอประสาทตาเสื่อม แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD)
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry Age – Related Macular Degeneration หรือ Dry AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากตัวเซลล์ในจอประสาทตาเสื่อมสภาพและจอตาบางลงเองตามอายุการใช้งานเมื่อมีอายุมากขึ้น พบได้มากถึง 85 – 90% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด
อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะค่อยๆแสดงออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมองไม่เห็นในที่มืด จำหน้าคนรู้จักไม่ได้ ภาพที่เห็นเริ่มเบลอ เบี้ยวผิดรูป และการมองเห็นจะแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ให้หายขาดอีกด้วย
2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD)
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet Age – Related Macular Degeneration หรือ Wet AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเกิดจากเส้นเลือดที่ผิดปกติภายในจอตา เมื่อเส้นเลือดที่ผิดปกตินั้นแตกออก เลือดและของเหลวในเลือดจะไหลออกและคั่งอยู่ในบริเวณจอประสาทตา ทำให้บริเวณนั้นบวมผิดปกติจนการรับภาพของจอประสาทตาผิดเพี้ยนไปจากเดิม
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกพบได้เพียง 10 – 15% เท่านั้น และมักเป็นความผิดปกติที่เป็นผลมาจากพันธุกรรม ดังนั้นแม้จะเป็นรูปแบบที่พบได้น้อย แต่มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมาก่อน โดยที่จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นมาได้เองทันที หรือสามารถเกิดต่อเนื่องหลังเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งก็ได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ อาการจะรุนแรงมากกว่าชนิดแห้ง อาการจะเกิดขึ้นเร็วและผู้ป่วยสามารถสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และมีโอกาสที่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากอะไร แต่ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมมักจะมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ดังนี้
- อายุ จอประสาทตาเสื่อมพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อทางพันธุกรรมได้ทั้งชนิดแห้งและชนิดเปียก คนในครอบครัวของผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีโอกาสเกิดโรคได้มากกว่าคนทั่วไป
- เชื้อชาติ จอประสาทตาเสื่อมจะพบในคนเชื้อชาติคอเคเซียน (Caucasians) หรือที่เรียกว่าคนผิวขาว ได้มากกว่าเชื้อชาติอื่นๆ
- การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคได้มาก
- โรคเบาหวาน มักทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสามตาเสื่อมชนิดเปียกได้มาก
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิด และไขมันในเลือด ซึ่งปัจจัยทั้งสองอย่างเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้มากเช่นเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับโรคจอประสาทตาเสื่อม คือการใช้สายตามากไป อย่างการเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแสงยูวีจากแดด ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย แม้การใช้สายตามากเกินไป หรือรังสียูวีในแสงแดดจะทำให้เกิดโรคต้อ หรือโรคอื่นๆกับดวงตาได้ แต่ไม่ได้มีผลทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้แต่อย่างใด
สาเหตุและอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม
โดยปกติแล้ว จอประสาทตา (Macula หรือ Macula lutea) เป็นกลุ่มของเซลล์ในพื้นที่หนึ่งของจอตา (Retina) จอประสาทตาจะมีหน้าที่ทำให้คนเรามองจุดโฟกัสกลางสายตาชัดกว่าภาพการมองเห็นในส่วนอื่นๆ
อย่างเช่นเวลาอ่านหนังสือ ผู้อ่านจะอ่านออกแค่ตัวหนังสือในบริเวณกลางภาพในตำแหน่งที่เรามองไปเท่านั้น เราอาจจะอ่านคำที่อยู่ติดกันได้ แต่ไม่สามารถอ่านคำที่ห่างออกไปมากกว่านั้นได้ เนื่องจากภาพตัวหนังสือที่อยู่รอบๆจะไม่ชัดเท่าตรงกลางนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อจอประสาทตาเสื่อมสภาพลง จะทำให้ภาพการมองเห็นมีผลกับตรงกลางภาพมากกว่าส่วนอื่นๆของภาพนั่นเอง
แล้วจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากอะไร? ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าปัจจัยใดทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม แต่จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงในจอประสาทตาค่อยๆเสื่อมสภาพและหายไปอย่างช้าๆ หรือเยื่อหุ้มในชั้นที่อยู่ใกล้จอตาค่อยๆบางลงจนมีผลต่อจอประสาทตา ทำให้ภาพการมองเห็นส่วนกลางภาพค่อยๆแย่ลงนั่นเอง
ส่วนจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ คาดว่าส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมที่เมื่อถึงอายุหนึ่งเส้นเลือดที่ผิดปกติหลังจอตาจะบวมหรือแตกออก ทำให้เกิดเลือดคั่งจนดันให้จอตา (Retina) บวมมากกว่าปกติจนส่งผลต่อจอประสาทตา (Macula) ทำให้เกิดจุดบอดตรงกลางภาพได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
อาการจอประสาทตาเสื่อม โดยทั่วไปมีดังนี้
- การมองเห็นแย่ลง โดยเฉพาะส่วนกลางภาพ จะเห็นเป็นภาพเบลอหรือเห็นเป็นสีเทาดำมืดไปเลย อาจจะเกิดขึ้นกับตาข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้
- ภาพการมองเห็นบิดเบี้ยวผิดรูป
- ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเพื่อให้มองเห็นชัด และมองเห็นได้น้อยลงเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
- ต้องใช้แสงมากขึ้นเพื่อมองเห็นสี โดยปกติแล้วหากอยู่ในที่มืดดวงตาคนเราจะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ เมื่อมีแสงสว่างประมาณหนึ่งจึงจะเห็นสี แต่ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะต้องใช้แสงสว่างมากกว่าคนทั่วไปในการมองเห็นสีนั่นเอง
- แยกใบหน้าได้น้อยลง เนื่องจากภาพการมองเห็นไม่ชัดเท่าเดิม
- อ่านหนังสือยากขึ้น
สัญญาณเตือนและแนวทางการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม
อาการเริ่มต้นของแต่ละชนิดนั้นต่างกัน หากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกจะสามารถสังเกตอาการได้ง่ายกว่า เนื่องจากอาการจะรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งนั้น ในช่วงแรงผู้ป่วยจะสังเกตอาการได้ยากมาก หรือในบางรายจะไม่แสดงอาการเลย แต่สามารถตรวจพบได้หากเข้าพบกับจักษุแพทย์
ในกรณีที่โรคแสดงอาการ โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะทำให้ผู้ป่วยเริ่มเห็นภาพมัวลง ไม่ชัดเท่าเดิม เส้นที่เคยเห็นเป็นเส้นตรงจะดูเบี้ยวและคดเคี้ยวมากขึ้น เมื่อเริ่มเป็นหนักขึ้นช่วงกลางภาพการมองเห็น จะเป็นสีเทาหรือสีดำ ซึ่งเป็นการสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วนนั่นเอง
จอประสาทตาเสื่อม รักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามชนิดของโรค หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้เพื่อไม่ให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม และไม่ให้พัฒนาไปเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกที่อันตรายกว่า
โดยแนวทางการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่แพทย์แนะนำ มีดังนี้
- มาตามนัดติดตามผลของจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากอาการแย่ลงจะได้รักษาได้ทัน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะการมองเห็นที่เสียไปแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นแบบเดิมได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีวินัยอย่างมาก
- งดสูบบุหรี่
- ควบคุมโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการดูแลตัวเองและทำตามคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยชะลอจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่อาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน ซึ่งพบได้ในผักผลไม้ และจะพบมากในผักใบเขียว หากไม่สามารถทานผักผลไม้เป็นประจำ สามารถทานเป็นอาหารเสริมแทนได้ แต่ก็ไม่ควรทานเยอะจนเกินไป
ในกรณีที่สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางภาพไปแล้ว จะมีวิธีรักษาที่เรียกว่า The implantable miniature telescope (IMT) เป็นการรักษาโดยการผ่าตัดใส่กล้องโทรทัศน์ขนาดเล็กเข้าไปที่ดวงตา เพื่อเปลี่ยนจุดรับแสงที่เป็นจุดโฟกัสกลางภาพ จากจอประสาทตาที่เสียหายไปแล้ว เป็นจอตาในส่วนอื่นๆที่ยังสุขภาพดีอยู่ เพื่อให้การมองเห็นกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงกับปกติ
แต่การรักษานี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ผู้เข้ารับการรักษาต้องอายุ 75 ปีขึ้นไป เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่อาการหนัก ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้อีก และต้องไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาในการรักษาโรคต้อกระจกมาก่อน
ส่วนในผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้
- การฉายแสงเลเซอร์
การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมี 2 วิธี ได้แก่
- Laser Photocoagulation วิธีการฉายเลเซอร์แบบนี้ จะใช้เลเซอร์พลังงานสูงยิงเข้าที่จอตาในส่วนที่มีเส้นเลือดผิดปกติ ความร้อนของเลเซอร์จะทำให้เลือดไม่ไหลออกจากเส้นเลือด หรือทำให้เลือดออกช้าลง สามารถชะลออาการของโรคได้ แต่วิธีการนี้มีข้อเสียคือความร้อนของเลเซอร์จะทำให้จอตาบางส่วนถูกทำลายไปด้วย ผู้ป่วยจะเกิดจุดมืดที่บางตำแหน่งของการมองเห็นอย่างถาวร
- Photodynamic Therapy หรือ PDT เป็นวิธีการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ร่วมกับการใช้ยา โดยแพทย์จะฉีดยาดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย เมื่อยาไปจับบนเส้นเลือดผิดปกติที่ดวงตาแล้ว แพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปในบริเวณจอตา ตัวเลเซอร์จะไปกระตุ้นตัวยาให้ออกฤทธิ์ ทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติอุดตันและฝ่อไปในที่สุด การรักษาด้วยวิธีนี้ตัวยาและเลเซอร์จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ทำให้หลังการรักษาจอตาไม่ถูกทำลายไปด้วยเหมือนกับวิธีแรก แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือตัวยาที่ฉีดเข้าร่างกายอาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงตาหากถูกแสงโดยตรงในช่วงแรก และอาจจะมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหลังหรือร่างกายส่วนอื่นๆ ได้
- การฉีดยาในกลุ่ม Anti-VEGF
ยา Anti – VEGF หรือ Anti – Vascular Endothelial Growth Factor เป็นยาสำหรับฉีดโดยแพทย์ ช่วยให้เส้นเลือดผิดปกติที่เป็นต้นเหตุของโรคฝ่อไป แพทย์จะฉีดยานี้เข้าที่ตาขาว เพื่อให้ตัวยาเข้าไปที่น้ำเลี้ยงในลูกตา และไปออกฤทธิ์ที่เส้นเลือดผิดปกติโดยตรง เป็นวิธีรักษาที่ต้นเหตุ เห็นผลเร็ว และผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกเจ็บขณะฉีดยา แต่วิธีการนี้มีข้อเสียเช่นกัน คือผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อย ช่วงแรกๆอาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อฉีดยาประมาณเดือนละ 3 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะลดจำนวนลงโดยแพทย์จะดูตามอาการอีกครั้งหนึ่ง
- การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อม
การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อมจะเป็นการผ่าตัดเพื่อนำเส้นเลือดที่ผิดปกติ หรือนำเลือดที่คั่งอยู่หลังจอตาออกไป โดยวิธีการนี้เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่เห็นผลเท่าที่ควร
ผู้ป่วยแต่ละรายต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของจักษุแพทย์เจ้าของไข้ ส่วนอาการหลังการรักษาก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดใด และเป็นในระยะใด หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง จะยังไม่มีวิธีรักษา อาการหลังปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะไม่ได้หายขาดหรือการมองเห็นดีขึ้น แต่จะช่วยไม่ให้สายตาแย่ลงกว่าเดิม
ส่วนผลการรักษาหลังจากเข้ารับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนั้น หากอาการก่อนการรักษาไม่หนักมาก ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมามีสายตาที่ปกติหรือใกล้เคียงกับปกติได้ แต่ถ้าอาการแย่อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หลังการรักษาอาการจะไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่ก็จะไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย
วิธีป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
วิธีการป้องกันจอประสาทตาเสื่อมนั้น คล้ายกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง คือต้องงดสูบบุหรี่ ควบคุมโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อม และทานอาหารที่มีประโยชน์ หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และควรทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน เพื่อป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด
จอประสาทตาเสื่อมส่วนใหญ่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทำได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลง เพื่อให้ใช้งานดวงตาได้นานขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้อื่นๆให้มากที่สุด เพราะหากสูญเสียการมองเห็นบางส่วนไปแล้ว ก็จะเสียไปเลย ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือแก้ไขได้ยาก การใช้ชีวิตประจำวันก็จะยากขึ้นมากอีกด้วย
ที่มา
ติตดามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ herrickstables.com
สนับสนุนโดย ufabet369.net
Economy
-
ทำไม นายทุนจีน ชอบย้ายมาอยู่ไทย
ช่วงนี้จะเดินไปไหนในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ ๆ ในไทย ก็ได้ยินเสียงคนจีนสปีคไชนีสกันเต็มไปหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่คนจีน ที่น่าสนใจคือ คนจีนมาไทยเยอะขนาดนี้ ก็ไม่ได้มีแค่มาเที่ยวไม่กี่วันแล้วกลับ แต่มีบางส่วนมาตั้งรกราก ทำธุรกิจในเมืองไทยด้วย เลยจะชวนติดตามข้อมูลของ นายทุนจีน กันว่า มาลงทุน มาอยู่อาศัยในไทยกันเยอะมั้ย
จีนขอส่งเสริมการลงทุนในไทยสูงสุดช่วง 9 เดือนปี 2022
เริ่มกันที่เรื่องการลงทุนก่อน พี่ทุยไปดูสถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มา พบว่า
ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2022) มีนักลงทุนต่างชาติมายื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 643 โครงการ +15% จากช่วงเดียวกันของปี 2021 มีเม็ดเงินลงทุนรวม 275,651 ล้านบาท -25%
โดยจีนเป็นแหล่งที่มาเงินทุนจากต่างประเทศอันดับแรกที่ขอรับส่งเสริมมากที่สุด รวม 89 โครงการ 45,024 ล้านบาท คิดเป็น 16% ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมทั้งหมด ตามมาด้วยไต้หวัน และญี่ปุ่น
จีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เยอะแค่ไหน
ปี 2020 : 153 โครงการ มูลค่าลงทุน 30,780 ล้านบาท อันดับที่ 2 จากนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด
ปี 2021 : 109 โครงการ มูลค่าลงทุน 37,217 ล้านบาท อันดับที่ 2 จากนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด
ส่วนปี 2022 (ม.ค.-ก.ย.) : 89 โครงการ มูลค่าลงทุน 45,024 ล้านบาท อันดับที่ 1 จากนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด
ส่วนสถิติโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ม.ค.-ก.ย. 2022 มี 594 โครงการ +6% จากช่วงเดียวกันของปี 2021 มูลค่าเงินลงทุน 223,746 ล้านบาท +35%
โดยจีนเป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมลงทุนอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและไต้หวัน มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 33,828 ล้านบาท หรือ 15% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด
เงินส่วนใหญ่มาจากโครงการขนาดใหญ่เกิน 1,000 ล้านบาท เช่น กิจการผลิตแผงวงจรพิมพ์แบบยืดหยุ่น และแผงวงจรพิมพ์หลายชั้น รวม 3 โครงการ มูลค่า 4,366 ล้านบาท กับกิจการผลิตด้ายหรือผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ มูลค่า 3,864 ล้านบาท เป็นต้น
คนจีนรับโอนห้องชุดในไทยเยอะสุดเทียบต่างชาติทั้งหมด
พี่ทุยมองว่า เรื่องการขอส่งเสริมการลงทุนนั้นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เรายังเห็นคนจีนมาอยู่อาศัยในไทยเยอะขึ้นด้วย ซึ่งก็สอดคล้องกับตัวเลขการรับโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของห้องชุดของชาวต่างชาติ ที่พี่จีน ก็มาวินอีกเช่นกัน
รายงานล่าสุดของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สถิติการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติในไตรมาส 2 ปี 2022 มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ 2,326 หน่วย +15.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2021 สูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส มูลค่ารวม 12,114 ล้านบาท +26.9%
โดยคนจีนครองอันดับ 1 ต่างชาติที่รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากสุด 2,072 หน่วย มูลค่าการโอน 10,493 ล้านบาท คิดเป็น 86.6% ของมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติทั้งหมด
โดยภาพรวมแล้ว จังหวัดที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติสะสมมากที่สุดา 5 อันดับ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่
ซึ่งปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาก คือ การเปิดประเทศที่ทำให้กิจกรรมระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ส่วนการท่องเที่ยวก็ทยอยฟื้นตัวกลับมา แต่สำหรับคนจีนที่อยากจะมาเที่ยวหรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่มากหน่อย เพราะจีนก็ยังใช้นโยบาย Zero-Covid อยู่
นี่ขนาดไทยไม่ได้เปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินในไทยได้ คนจีนรวมถึงชาติอื่นๆ ยังมารับโอนห้องชุดเยอะขนาดนี้ พี่ทุยอยากให้ลองนึกภาพตามว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินในไทยได้ จะเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งพี่ทุยมองว่า ถ้าเปิดแบบไม่มีลิมิต ในอนาคตก็อาจจะเจอปัญหาคนไทยซื้อที่อยู่อาศัยไม่ได้ เพราะต่างชาติกว้านซื้อไปหมด ฉะนั้น สมมติในอนาคตมีการหยิบประเด็นให้ต่างชาติถือครองที่ดินในไทยได้มาพูดถึงอีก ก็คงต้องพูดถึงมาตรการป้องกันการซื้อเก็งกำไร กับมาตรการที่จะทำให้คนไทยยังหาที่อยู่อาศัยได้ในผืนแผ่นดินของตัวเองด้วย
ตัวอย่างข้อเสนอที่ REIC เคยเสนอไว้ถ้ารัฐบาลมีนโยบายให้ต่างชาติถือครองที่ดินในไทยได้
- รัฐบาลควรกำหนดชัดเจนว่าอนุญาตให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินเพื่ออยู่อาศัยระยะยาวในไทยได้ช่วงเวลากี่ปี
- อาจเป็นนโยบายเปิดชั่วคราว ไม่ใช่ตลอดไป
- กำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคาเท่าไหร่ จะได้ไม่มาซื้อระดับราคาที่ตรงกับกำลังซื้อคนไทยส่วนใหญ่
- กำหนดระยะเวลาถือครองกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจนป้องกันการเก็งกำไร เช่น ไม่น้อยกว่า 3-5 ปี
- ควรกำหนดภาษีหรือค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นชาวต่างชาติต่างจากของคนไทย
ควรกำหนดเกณฑ์สำหรับต่างชาติที่ต้องการขายบ้านและที่ดินต่อให้ชัดเจน
นายทุนจีน สนใจไปอยู่ที่ไหนกันบ้างในโลก
เทรนด์การลงทุนและการมาอยู่อาศัยในต่างแดนของคนจีนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทยเท่านั้น เพราะคนจีนไปลงทุนและลงหลักปักฐานทั่วโลกเลย
ถ้าดูในมุมของประเทศ หรือพื้นที่ไหนที่คนจีนอยากไปหาที่อยู่อาศัยหรือใช้ชีวิตนอกจีนแผ่นดินใหญ่มากที่สุด พี่ทุยลองส่องข้อมูลจาก Juwai.com เว็บไซต์ขายอสังหาริมทรัพย์ในจีน ที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 12.9 ล้านคนต่อเดือน พบข้อมูลดังนี้
- สหรัฐอเมริกา
- มาเลเซีย
- ออสเตรเลีย
- แคนาดา
- ไทย
- สิงคโปร
- อิตาลี
- อังกฤษ
- สเปน
- ฟิลิปปินส์
ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ นายทุนจีน สนใจอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ
- ต้องการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ
- ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพื่อกระจายการลงทุน
- ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพื่ออยู่อาศัย
- อพยพหรือกำลังวางแผนจะย้ายไปต่างประเทศ
- ไปต่างประเทศเฉลี่ย 4 ครั้งต่อไป เลยอยากซื้ออสังหาริมทรัพย์เอาไว้
- ต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพื่อรับรายได้ค่าเช่า
- ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ เอาไว้ใช้ชีวิตยามเกษียณ
นายทุนจีน อพยพมาอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เยอะแค่ไหน
ทั้งนี้ พบว่า คนจีนที่อพยพมาใหม่จำนวนหนึ่ง เริ่มจากเป็นครูอาสาสอนภาษาจีน แล้วก็หันไปทำธุรกิจเล็ก ๆ แต่ด้วยกฎหมายไทย ทำให้คนเหล่านี้ต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรคนไทยเพื่อค้าขายและทำธุรกิจในไทย
ส่วนบางคนก็ทำหน้าที่เป็นนายหน้าให้คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่อยากซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น อสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการศึกษาในไทย
โดยรวมแล้ว คนจีนที่อพยพมาทำธุรกิจในไทย มีทั้งที่ได้ใบอนุญาตถูกต้อง และไม่ได้ใบอนุญาต แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ใบอนุญาต ซึ่งอยู่ในกลุ่มบริการด้านการขนส่ง โลจิสติกส์ คลังสินค้า บางคนมาลองขยายฐานธุรกิจในย่านไชน่าทาวน์ใหม่แล้วก็มีแนวโน้มจะย้ายไปต่างจังหวัดแทน หรือบางคนมาทดลองทำแล้วก็อยากย้ายกลับไปจีน
โดยรวมแล้ว พี่ทุยไม่แปลกใจเลยที่คนจีนจะมาอยู่ในไทยเยอะ เพราะต้องยอมรับว่า ด้วยจำนวนประชากรจีนทั่วโลกที่มีรวมกันกว่า 1,400 ล้านคน มากที่สุดในโลก ก็ไม่แปลกอะไรที่คนเหล่านี้จะกระจายตัวเองไปอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า พึงพอใจกว่า และไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียวที่คนจีนหมายตา
สิ่งที่สำคัญกว่า จึงอยู่ที่ หน่วยงานรัฐของประเทศปลายทางที่คนจีนต้องการไปอยู่ ที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ โดยให้คนในประเทศของตัวเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนหรืออยู่อาศัย ภายใต้เงื่อนไขจำกัด ที่ไม่ทำให้การเข้ามานั้น มากเกินไป หรือเข้าไปรุกล้ำ กระทบกับคนในประเทศด้วย
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
โฆษณาฟุตบอลฝรั่งเศสแบบไวรัลสร้างคำกล่าวเรื่องเพศที่ทรงพลัง
ออกแบบ รั้วบ้าน ตามหลังฮวงจุ้ย
อินเดียพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมยางที่กำลังลดน้อยลง
Legion Season 3 Premiere อาจเป็นตัวละครใหม่ทั้งหมด
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://herrickstables.com/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา www.moneybuffalo.in.th
Latest News
ไปป้อมอัครา อินเดีย สถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
ไปป้อมอัครา อินเดีย ป้อมอ...
โฆษณาฟุตบอลฝรั่งเศสแบบไวรัลสร้างคำกล่าวเรื่องเพศที่ทรงพลัง
ขณะที่มาทิลดาสเรียกร้องให...